ผมคิดถึงแม่ครับ
แม้แขนเพียงข้างเดียวก็อบอุ่นได้ครับ
ตั้งแต่เด็กมาแล้วไม่ว่างานวันแม่ของโรงเรียนปีไหนๆ ผมก็ทำได้เพียงอยู่ด้านหลังเป็นเด็กกลุ่มเล็กๆที่ไม่มีแม่มาร่วมงาน ผมเข้าใจดีว่าผมจะชินกับงานวันแม่ที่ผมต้องมองคนอื่นกราบแม่กัน ไม่เคยนึกอิจฉาใครหรือร่ำร้องจะพาแม่มาร่วมงานเหมือนกับที่เห็นหลายๆคนเป็น


ช่วงเวลาหนึ่งปัญหาใหญ่ได้ผ่านมาในชีวิตของผม
อะไรหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามาในชีวิตพร้อมกัน สภาพจิตใจตอนนั้นสะบักสะบอมจนแทบจะยอมแพ้กับชีวิต
เกือบจะตัดสินใจที่จะย้ายที่เรียนด้วยซ้ำไป ณ เวลานั้นผมกล่าวโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อ
เพราะสิ่งที่พ่อสอนทำให้ผมอ่อนแอ ทำให้ผมกลายเป็นคนที่โดนเพื่อนหักหลัง
กลายเป็นคนที่ยอมเป็นบันไดให้คนอื่นปีนไปหาความสำเร็จในขณะที่ตนเองกำลังจะจมลงไปในความผิดหวังและพ่ายแพ้
กลายเป็นคนโง่ที่ยอมให้อภัยกับมิตรเทียมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กลายเป็นคนที่ต้องอดทนกลืนความทุกข์ไว้เพียงลำพัง
ความเป็น ‘ผม’ ในวันนั้นคือสิ่งที่ถูกพ่อหล่อหลอมให้เข้ามาอยู่ในสังคมแห่งการอดทน และกำลังจะไปไม่รอดเพราะทนรับทุกอย่างไว้ไม่ไหว แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจกับอนาคตของตัวเอง ผมก็เลือกที่จะกลับบ้านกลับมาตั้งหลักยังสถานที่อันเป็นเหมือนฐานทัพทางจิตใจ ทันทีที่เท้าก้าวเข้าสู่ประตูบ้าน พ่อก็ยิ้ม…ยิ้มรับลูกชายที่เดินกลับเข้ามาในบ้าน ไม่ถามอะไรทั้งสิ้น…ประโยคเดียวที่พ่อพูดกับผมในวันนั้นคือ…
“ไม่เป็นไรนะลูก…ไม่เป็นไร”
ไม่ใช่คำพูดของพ่อหรอกที่ทำให้ผมผ่านทุกอย่างมาได้
แต่เป็นเพราะพ่อเป็นคนที่รอรับฉันอยู่หน้าประตูต่างหาก ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกใบนี้อาจจะมีเรื่องราวมากมายที่บั่นทอนความรู้สึกของผม
แต่ทุกอย่างมันจะกลับมาเติมเต็มจนล้นทุกครั้งเมื่อกลับมาถึงบ้านที่มี ‘พ่อ’
รอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น